การกินอาหารแบบ คีโตเจนิค ไม่ต้องกลัวไขมัน

7075

หลักการทำงานของ คีโตเจนิค คือ โดยปกติร่างกายมนุษย์จะใช้กลูโคสเป็นแหล่งพลังงาน กลูโคสได้มาจากการที่เรารับประทานแป้งและน้ำตาลเข้าไป แป้งและน้ำตาลจะถูกย่อยและดูดซึมกลายเป็นกลูโคสในกระแสเลือด หลังจากนั้นตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินและจับกลูโคสเข้าเซลล์ กลูโคสจะถูกเผาผลาญเป็นพลังงานในเซลล์ โดยพลังงานส่วนเกินก็จะถูกสะสมในรูปของไขมัน แต่ในระบบการทำงานภาวะคีโตซิสเป็นการใช้ไขมันเป็นพลังงานหลักแทนกลูโคส เมื่อร่างกายไม่ได้รับประทานอาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลทำให้ระดับกลูโคสในเลือดต่ำเกิดการย่อยสลายไตรกลีเซอไรด์ที่สะสมอยู่ในเซลล์ไขมัน เกิดเป็นกี่โซโลและกรดไขมันอิสระ กรดไขมันอิสระเหล่านี้จะเดินทางเข้าสู่ตับ ตับจะสร้าง ketones เป็นพลังงานในเซลล์จึงไม่เกิดพลังงานส่วนเกินสะสมจนกลายเป็นไขมัน

คีโตเจนิก

สรุปง่ายๆก็คือการรับประทานแบบคีโตเจนิคจะทำให้ร่างกายดึงไขมันที่เก็บสะสมไว้มาเผาผลาญแทนน้ำตาลและแป้งเมื่อไขมันถูกเผาผลาญออกไปมากเป็นผลให้น้ำหนักค่อยลดลงอย่างรวดเร็วและไม่กลับมาอ้วนซ้ำ หรือไม่เกิดอาการโยโย่

คีโตเจนิคไดเอทเป็นสูตรลดน้ำหนักที่ถูกนำมาใช้ในวงการแพทย์เพื่อรักษาผู้ป่วยโรคลมบ้าหมูแต่เนื่องจากสามารถลดน้ำหนักได้ดีจึงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องและจนถึงปัจจุบัน

อาหาร คีโตเจนิค ทั่วไปมีแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้

1.คาร์โบไฮเดรต ที่ปริมาณน้อยกว่า 50 ถึง 60 กรัมต่อวันจะถือว่าเป็นอาหารคีโตเจนิค แต่ถ้าเป็นนักกีฬาและผู้มีการเผาผลาญสมบูรณ์ดีอาจทานคาร์โบไฮเดรตได้สูงถึง 100 กรัมต่อวันเพื่อรักษาระดับคีโตนในร่างกายให้สูงอย่างเหมาะสม คาร์โบไฮเดรตไม่ได้อยู่ในรูปของข้าว แป้ง ขนมปัง น้ำตาลเพียงเท่านั้น ผู้ที่รับประทานอาหารแบบคีโตเจนิคควรหลีกเลี่ยง เครื่องปรุงรสเครื่องเทศ ผลิตภัณฑ์นม ผักสดที่มีรสหวานเพราะมักจะมีคาร์โบไฮเดรตแสงอยู่ เช่น มะเขือเทศ ฟักทอง แครอท สารให้ความหวาน ยาปฏิชีวนะบางชนิด ยาต้านไวรัส

2.โปรตีน เน้นกินโปรตีนให้มากขึ้นเพราะโปรตีนจะถูกนำไปเปลี่ยนเป็นกลูโคสแทนน้ำตาลและเผาผลาญเป็นพลังงานให้เพียงพอต่อร่างกาย แหล่งโปรตีน เช่น ชีส วิปปิ้งครีม ไข่ไก่ ปลาดุก ปลาแซลมอน ปลากระพงแดง เนื้อวัว เนื้อแกะ เนื้อหมูติดซี่โครง หมูสันนอก ถั่ววอลนัท เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แอลมอล แมคคาเดเมีย พิตาชิโอ

3.ไขมัน กินไขมันชนิดดีให้มากกว่าไขมันชนิดเลวเพราะไขมันชนิดดีจะกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญ ใน 1 วันเราควรกินไขมันชนิดดีประมาณ 70 ถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของอาหารที่มีกรดไขมัน ไขมันชนิดดี เช่น กรดไขมันโอเมก้า 3 พบมากในปลาทะเล ปลาแซลมอน ปลาทูน่ ากรดไขมันโอเมก้า 6 พบในน้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันรำ ข้าวน้ำมันคาโนล่าส่วนไขมันอิ่มตัวปานกลาง เช่น เนย หอย ไข่แดง อะโวคาโด น้ำมันมะกอกน้ำ มันมะพร้าว

การรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิค ประโยชน์ที่จะได้รับมีดังนี้

1.สามารถควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติได้ อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตน้อยลงจะทำให้เกิดการเผาผลาญน้ำตาลน้อยลงไปด้วยจึงทำให้ความดันโลหิตลดลง

2.ลดอาการหิวเมื่อร่างกายของเราได้รับปริมาณโปรตีนที่พอเหมาะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องไม่หิวบ่อยไม่อยากกินของจุกจิก การรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิคเป็นการลดปริมาณคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงนั่นเอง การรับประทานโปรตีนให้มากขึ้นจึงทำให้ไม่ค่อยรู้สึกหิว

3.สร้างความคิดและความจดจำ การลดปริมาณอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลงเป็นการลดการสะสมของแป้งและน้ำตาลในร่างกายส่งผลให้ระบบการไหลเวียนของโลหิตทำงานได้ดี เลือดไหลไปเลี้ยงสมองได้ดี

4.กระตุ้นให้อยากลดน้ำหนักเนื่องจากการรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิคเป็นเรื่องที่ง่ายและเห็นผลได้ชัดเจนเป็นการกระตุ้นให้ร่างกายเผาผลาญมากกว่าเดิมถึง 2 เท่า

อาหารแบบคีโตเจนิคอาจจะไม่คุ้นหูใครต่อใคร แต่ก็มีคนกลุ่มใหญ่ที่หันมารับประทานอาหารแบบนี้ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้คะ ก่อนตัดสินใจจะรับประทานอาหารแบบคีโตเจนิค

ข้อมูลอ้างอิง

กินอะไรได้บ้างในคีโตเจนิค: thaiketopal.com
กินจนปากมันแผล็บ แต่น้ำหนักลดฮวบๆ อย่างนี้ก็มีหรือ คีโตเจนิก การกินไขมันเพื่อเผาพลาญไขมัน: thestandard.co
หลักการของคีโตเจนิค: thaiketopal.com

Previous articleสรรพคุณและประโยชน์ของ ว่านรางจืด
Next articleสัญญาณที่อาจจะเป็น โรคไบโพล่าร์