การตรวจสภาพรถ มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความพร้อมและความปลอดภัยของการใช้รถ ว่าอยู่ในสภาพมั่นคง แข็งแรง และอุปกรณ์ที่จำเป็นต่างๆ อยู่ในสภาพที่เหมาะสมในการใช้งานหรือไม่ รวมถึงการตรวจลดมลภาวะ (ควันดำ) อันเกิดจากรถด้วย เพื่อความปลอดภัยของผู้ขับขี่และผู้โดยสารที่ต้องนั่งไปกับรถคันนั้นๆ
โดยกรมการขนส่งได้กำหนดให้รถจักรยานยนต์ ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และรถยนต์ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป ต้องนำรถไปตรวจสภาพรถเสียก่อนจึงจะสามารถต่อภาษีประจำปีได้ ซึ่งเจ้าของรถสามาถนำรถไปตรวจสภาพรถได้ล่วงหน้า 3 เดือน ก่อนที่จะมีการเสียภาษีประจำปี
ตรวจสภาพรถ ได้ที่ไหนบ้าง?
สถานที่รับตรวจสภาพรถมีอยู่มากมายหลายแห่งทั่วประเทศ ทั้งที่เป็นของกรมการขนส่ง และสถานตรวจสภาพรถของเอกชน (ตรอ.) แต่การไปตรวจสภาพรถที่ ตรอ. นับเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะคิวไม่เยอะ ใช้เวลาตรวจสภาพรถประมาณ 1-2 ชั่วโมงก็เสร็จแล้ว และที่ ตรอ. ทุกแห่งก็รับต่อภาษีประจำปีด้วย โดยมีค่าบริการนิดหน่อย (ประมาณ 100 บาท) ถ้าเทียบกับค่าเสียเวลา ค่าน้ำมันรถ ในการไปเสียภาษีประจำปีที่กรมการขนส่งด้วยตัวเองก็นับว่าสะดวกสบายไม่ใช่น้อย
สำหรับสถานตรวจสภาพรถของเอกชน (ตรอ.) ที่ได้รับอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบก จะมีตราสัญลักษณ์ให้สังเกต ดังนี้
สามารถตรวจสอบสถานที่รับตรวจสภาพรถ ทั้งรถยนต์และรถจักรยานยนต์ จำนวน 1,636 แห่งทั่วประเทศ ได้ที่นี่ autocheck.in.th (pdf)
การตรวจสภาพรถ ต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง?
ในการไปตรวจสภาพรถ ต้องเตรียมเอกสารแค่เล่มทะเบียนรถเท่านั้น แต่หากจะให้ทางสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ.) ช่วยต่อภาษีประจำปีด้วย ก็ต้องเตรียมใบ พ.ร.บ. ไปด้วย สำหรับการตรวจสภาพรถโดยทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1 – 2 ชั่วโมง แต่ถ้าให้ ตรอ. ช่วยต่อภาษีประจำปีด้วย จะใช้เวลาประมาณ 1 วันทำการ ซึ่งทาง ตรอ. จะนัดวันมารับเล่มทะเบียน ป้ายวงกลม และใบเสร็จในการชำระภาษีประจำปีในวันถัดไป
การตรวจสภาพรถ ราคาเท่าไหร่?
สำหรับอัตราค่าตรวจสภาพรถ ตามสถานรับตรวจสภาพรถเอกชนทุกแห่ง โดยทั่วไปจะคิดอัตราค่าตรวจสภาพรถเท่าๆกัน คือ
- ค่าตรวจสภาพรถจักรยานยนต์ คันละ 60 บาท
- ค่าตรวจสภาพรถยนต์ น้ำหนักไม่เกิน 2 ตัน (น้ำหนักรถเปล่า) คันละ 200 บาท
- ค่าตรวจสภาพรถยนต์ น้ำหนักเกิน 2 ตัน (น้ำหนักรถเปล่า) คันละ 300 บาท
ในกรณีที่ตรวจสภาพรถไม่ผ่าน ต้องนำรถกลับไปแก้ไขข้อบกพร่องให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วจึงกลับมาตรวจสภาพใหม่ และหากนำรถกลับมาตรวจสภาพใหม่อีกครั้งไม่เกิน 15 วัน จะคิดค่าตรวจสภาพรถครึ่งหนึ่งของราคาค่าตรวจสภาพตามปกติ (100 บาท) แต่หากนำรถมาตรวจสภาพใหม่เกินจาก 15 วันขึ้นไป ก็จะคิดค่าตรวจสภาพเท่ากับราคาปกติ (200 บาท)
หมายเหตุ ข้อมูลนี้เป็นของ บริษัท ยูพีดี จำกัด หากไปตรวจสภาพรถที่สถานตรวจสภาพรถเอกชนอื่นๆ ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วย
การตรวจสภาพรถ จะตรวจอะไรบ้าง?
โดยทั่วไปการตรวจสภาพรถ จะมีการตรวจความพร้อมการใช้งานของรถอยู่ 2 – 3 อย่าง คือ
- ตรวจความพร้อมของสัญญานไฟ เช่น ไฟหน้า ไฟสูง ไฟหรี่ ไฟกระพริบ ฯลฯ
- ตรวจสภาพของการเบรก ทั้งล้อหน้าและล้อหลัง
- ตรวจควันดำ โดยใช้ระบบกระดาษกรอง (Filter Smokermeter) ซึ่งค่ามาตรฐานต้องไม่เกิน ร้อยละ 50 (รถส่วนมากมักจะมีปัญหาในข้อนี้)
เทคนิคเล็กๆน้อยๆ ในการตรวจสภาพรถให้ผ่านเกี่ยวกับควันดำ
ก่อนที่จะไปตรวจสภาพรถ ควรทำการตรวจสอบควันดำด้วยตัวเองเสียก่อน โดยการเร่งเครื่องจนสุดคันเร่ง หากมีควันดำออกมามาก ก็ควรทำการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนนำรถไปตรวจสภาพ ดังนี้
- ทำความสะอาดไส้กรอง หรือเปลี่ยนไส้กรองใหม่
- เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง และกรองน้ำมันเครื่อง
- ตรวจเช็คและปรับตั้งหัวฉีดน้ำมันให้มีแรงดันที่เหมาะสม
หากเตรียมรถให้พร้อมก่อนนำไปตรวจสภาพรถ ก็จะสามารถผ่านขั้นตอนต่างๆได้ไม่ยากนัก แต่ถ้ารถอยู่ในสภาพไม่พร้อม ก็อาจต้องนำรถกลับมาแก้ไข ทำให้เสียเวลาและยังเสียเงินค่าตรวจสภาพรถเพิ่มขึ้นอีก ควรกันไว้ดีกว่าแก้นะครับ
ข้อมูลอ้างอิง:
การตรวจสภาพรถ : dlt.go.th
ตรวจสภาพรถ ตรอ. : upd.co.th
ขั้นตอนการตรวจวัดควันดำ : busthai.net