ถือเป็นหนังสงครามอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งสำหรับ Dunkirk (ดันเคิร์ก) ผลงานการกำกับของเจ้าพ่อผู้กำกับหนังแห่งยุคอย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) ที่ตัวหนังมีหน้าฉากเป็นหนังสงครามที่สร้างจากเรื่องจริงของประวัติศาสตร์ แต่จุดเด่นกลับไม่เหมือนหนังสงครามทั่วไป
Dunkirk กลับกลายเป็นการถ่ายทอดการเอาตัวรอดของพระเอก ที่ทำให้คนดูต้องนั่งไม่ติด และลุ้นระทึกไปตลอดเวลาในการรับชม รวมไปถึงซาวด์เอฟเฟกต์ต่าง ๆ ซึ่งเปรียบเหมือนลายเซ็นของ โนแลน ที่ทำให้หนังได้รับอรรถรสเป็นอย่างมาก
Dunkirk ได้ย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์ของสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อกองทัพทหารขนาดใหญ่ของสหราชอาณาจักร และประเทศพันธมิตร ถูกล้อมกรอบโดยกองทัพนาซี ที่มีกองกำลังมากถึง 4 แสนนาย โดยทางฝั่งอังกฤษ ก็พยายามช่วยเหลือทหารของตนไว้ แต่ก็ถูกขัดขวางโดยตลอด นั่นจึงทำให้รัฐบาลต้องขอให้เรือของพลเรือนแท้ ๆ เข้ามาช่วยทหารราชนาวีในครั้งนี้ และทุกอย่างก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ ที่จารึกไว้อย่างยิ่งใหญ่
สำหรับคำวิจารณ์ หนังได้รับคำชื่นชมเป็นอย่างมากถึงการแบ่งการเล่าเรื่องที่ยอดเยี่ยม และแม้ว่า ตัวหนังจะมีความยาวเพียง 1 ชั่วโมง 46 นาที เท่านั้น ซึ่งถือว่าสั้นมาก ๆ กับหนังแนวสงคราม แต่ก็ถือได้ว่า การเรียบเรียงลำดับความสำคัญของหนังได้ดี ตั้งแต่เหตุการณ์ปกติ ไปจนถึงขั้นวิกฤต
แต่สำหรับข้อเสีย หลายคนก็มองว่า ตัวหนังอาจจะมีความกระชับและความเร็วในการดำเนินเรื่องมากจนเกินไป เพื่อไม่ให้เกินเวลาที่ โนแลน ตั้งใจจะนำเสนอ จึงทำให้คนดูที่ไม่มีสมาธิในการดูอาจจะสับสนและตามไม่ทันก็เป็นได้ รวมไปถึงหลาย ๆ คนยังให้ความเห็นว่า โนแลน ทำหนังเรื่องนี้ออกมาแบบไม่คุ้มกับฝีมือจริงของเขามากนัก เพราะก่อนหน้านี้ ตัวเขาได้ปล่อยหนังดี ๆ อย่าง Inception หรือ Interstellar ที่สร้างความฮือฮามาแล้ว
แต่ในครั้งที่เหมือนกับว่า โนแลน เลือกที่จะเกรงใจคนดู และพยายามทำทุกอย่างให้จบแบบรวดเร็วให้มากที่สุด
