วิธีรับประทาน ยาเลื่อนประจำเดือน

119

ประจำเดือน คือ เลือดและเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมาทุกรอบเดือนของผู้หญิงจะแตกต่างกันไปในแต่ละคนส่วนมากจะเกิดขึ้นทุกๆ 21-35 วันแต่ละรอบจะอยู่นาน 3-7วัน เราต้องมีการสร้างเนื้อเยื่อโพรงมดลูกใหม่เสมอเพื่อให้พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อนซึ่งเป็นวงโคจรของการมีประจำเดือนแบบนี้

ยาเลื่อนประจำเดือน

 

ช่วงครึ่งแรกของรอบเดือน เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญหนาตัวขึ้นจากฮอร์โมนเอสโตรเจน ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน จะมีการตกไข่จากรังไข่เพื่อรอการปฏิสนธิกับอสุจิ จากนั้นไข่ที่ผสมแล้วจะฝังตัวอยู่ในเยื่อบุโพรงมดลูก ในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือนหลังไข่ตก จะมีการสร้างฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนมากขึ้น เพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนเมื่อเจริญเป็นการตั้งครรภ์

ในแต่ในรอบเดือนที่ได้มีการปฏิสนธิ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนจะลดระดับลงส่งผลให้มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ประจำเดือน” หลังจากมีประจำเดือนแล้วรังไข่จะสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้นเริ่มต้นวงจรของการเกิดประจำเดือนใหม่วนเวียนไปตลอดช่วงระยะเวลาเจริญพันธุ์

การรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนมีผลให้ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนสูงทำให้มดลูกหนาตัวขึ้นไม่เหมาะแก่การฝังตัวของตัวอ่อน หากหยุดยาจะทำให้ฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนลดต่ำลงส่งผลให้เยื่อบุมดลูกที่หนาตัวหลุดสลายไปแล้วกลายมาเป็นประจําเดือน

ยาเลื่อนประจำเดือน ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเป็นยาเม็ดที่มีตัวยาสำคัญ คือ “นอร์เอทีสเตอโรน” (Norethisterone) มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน ยาจะทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกไม่หลุดออกมาเป็นประจำเดือน นอกจากนี้ยังใช้รักษาความผิดปกติของรอบเดือน เช่น อาการปวดศีรษะ หรือมีอารมณ์หงุดหงิดก่อนมีประจำเดือน รวมทั้งยังใช้รักษาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

ผู้ที่ไม่ควรรับประทานยาเลื่อนประจําเดือน คือ ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์เนื่องจากยาอาจทำให้ทารกเป็นเพศหญิงมีการพัฒนาอวัยวะเพศภายนอกคล้ายกับเพศชายได้โดยเฉพาะหญิงที่มีอายุครรภ์เดือนครึ่งเป็นต้นไป รวมทั้งสตรีที่กำลังให้นมบุตรอาจก่อให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่อลูกได้ อีกทั้งผู้ที่ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดอุดตันเนื่องจากยาชนิดนี้จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดอุดตันมากขึ้น ผู้ที่ป่วยเป็นโรคตับขั้นรุนแรง หรือผู้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งที่อวัยวะเพศชนิดที่ไวต่อฮอร์โมนเนื่องจากยาจะส่งเสริมการโตของเนื้อร้ายเหล่านี้ได้คะ

การรับประทานยาเลื่อนประจำเดือนควรเริ่มรับประทานอย่างน้อย 3 วันก่อนวันที่คาดว่าจะมีประจำเดือน การรับประทานยาขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว ถ้ามีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 60 กิโลกรัมรับประทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 2 ครั้ง หากมีน้ำหนักตัวมากกว่า 60 กิโลกรัมรับประทานครั้งละ 1 เม็ดวันละ 3 ครั้ง หลังมื้ออาหารและรับประทานยาต่อเนื่องต่อไปจนกว่าจะต้องการให้ประจำเดือนมาจึงหยุดรับประทานยา

การรับประทานยาก่อนประจำเดือนมาเพียง 1 วันหรือขณะที่มีประจำเดือนซึ่งเยื่อบุโพรงมดลูกได้หลุดออกมาแล้วยาจึงมีผลเพียงช่วยลดปริมาณและจำนวนวันของการมีประจำเดือนให้สั้นลง แต่หลังจากหยุดยาจะทำให้มีประจำเดือนซ้ำอีกในช่วงเวลาใกล้ๆกัน

ผู้ที่รับประทาน ยาเลื่อนประจำเดือน เป็นประจำอาจเกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์ คือ ประจำเดือนผิดปกติ รอบเดือนมาไม่สม่ำเสมอ ประจำเดือนอาจมาถี่แบบกะปริดกะปรอย ยิ่งกว่านั้นการทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์ยากขึ้นเนื่องจากการรับประทานยาเลื่อนประจําเดือนเป็นเวลานานๆจะทำให้เกิดเมือกเหนียวข้นบริเวณช่องคลอด อสุจิไม่สามารถเข้าไปผสมกับไข่ได้ ผนังมดลูกมีสภาวะไม่เหมาะสมแก่การฝังตัวของไข่ที่ผสมแล้ว จึงควรใช้ยานี้ยามที่จำเป็นเท่านั้นนะคะ

ข้อมูลอ้างอิง

ยาเลื่อนประจําเดือนที่นี่มีคำตอบ: pharmacy.mahidol.ac.th
กินยาเลื่อนประจําเดือนเลื่อนอย่างไรให้ปลอดภัย: mamaexpert.com
ประจําเดือนไม่ใช่เรื่องเสียและสีของประจําเดือนสามารถเปลี่ยนแปลงได้: : med.mahidol.ac.th
ประจําเดือน: haamor.com

Previous articleกรุ๊ปเลือด (หมู่โลหิต) มีกรุ๊ปอะไรบ้าง มีส่วนประกอบอะไรบ้าง
Next articleตั้งชื่อมงคลลูกสาว-ลูกชาย อักษรต้องห้าม วิธีเสริมดวงลูกน้อย